วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ตำนาน พระยาศรีโคตรบองสาปเวียงจันทร์



ตำนาน พระยาศรีโคตรบองสาปเวียงจันทร์
         ผู้เขียนขอเล่าตำนานเกี่ยวกับประวัติของพระยาศรีโคตรบอง  เพื่อให้ทราบว่าที่มาที่ไปด้านหลังเหรียญมังกรทอง ของหลวงปู่ทองคำ สุวโจ ที่สร้างขึ้น เมื่อปี2561  และกำลังโด่งดัง ณ ปัจจุบัน
เรื่องราวระหว่างลาว และ "ชนพื้นเมือง" แถบอีสาน คนอีสาน คือ คนสืบเชื้อลาวทั้งหมด จริงๆหรือเพียงเพราะภาษาและวัฒนธรรมกลืนกินให้กลายเป็นลาว เสนออีกทฤษฏีหนึ่ง มิได้กล่าวว่าคือของแท้แน่นอนประการใด ตำนานนี้ฟังมาจากผู้เฒ่าผู้แก่ฝ่ายต่างๆจนมาสรุปกันดังนี้ อาจไม่ตรงต้นตำรับที่เรากันบ้างนะเพราะผมฟังมาจากในอีสานถิ่นต่างๆสรุปๆย่อๆได้ดังนี้
เมื่อก่อนสมัยลาวหนีพม่ามาสร้างเมืองเวียงจันทร์นครใหญ่ต่อมาก็มี คนเผ่าเรียกตัวเองนำหน้าว่าไท... ที่เรียก พวกตัวเองว่า ชาวลาว(ชาวหลวงราช) ได้อพยพลงมาหนีภัยอาณาจักรหงสาวดี มีเรื่องอ้างอิงคือ ที่น่าสนใจคือ "ตำนาน"เรื่องท้าวศรีโคตรสาปเวียงจันทร์
เมื่อก่อนนั้นเวียงจันทร์รุ่งเรืองมากเหนือชนพื้นเมืองในแถบนี้ มีวัฒนธรรมอารยธรรมสูงที่เหนือกว่าเป็นคนชนพื้นเมืองแถบนี้มาก มักจับให้เป็นทาส มาเป็นขี้ข้า(ขี่ข่า จนเรียกกันติดปากว่า พวกข่า จนกลายเป็นเผ่าข่า ไป) หลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ พงศาวดารล้านช้าง กล่าวว่า ในปี 2103 สมเด็จพระไชยเชษฐิราชต้องทำการปราบปรามพวกข่า และชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ที่สร้างบ้านสร้างเมืองอยู่แถวฝั่งแม่น้ำโขงทางใต้นครเวียงจันทร์และในที่สุดพระองค์ได้หายสาบสูญไปในคราวยกกองทัพไปปราบปรามพวกข่า ในแขวงอัตบือ
เมื่อก่อนนั้นเวียงจันทร์รุ่งเรืองมากเพราะถือว่าเป็นนครใหญ่ผู้คนรวมตัวกันเยอะ เหนือชนในแถบนี้ในอีสาน (ชนพื้นเมืองเดิม) มีวัฒนธรรมที่เหนือกว่า และเป็นคนเมืองมีความรู้วิทยาการกว่า ผิดกับคนพื้นเมืองในแถบดินแดนอีสานเก่านี้ที่มักกระจัดกระจาย อยู่อย่างสงบทำให้อาณาจักรศรีสตนาคนหุตล้านช้าง มีอำนาจเหนือบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงกว่าแถบแว้นแคว้นในศรีโคตรบูรณ์หรือในดินแดนอีสานเหลล่านี้ ในแถบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ของเวียงจันทร์ ในตำนานกล่าวว่า
ขณะนั้น เกิดวิกฤตการณ์ช้างนับล้าน(เขาว่างั้น) เข้ามาบุกทำลาย ไร้นา สวนอ้อย บ้านเรือนผู้คน มากมาย ในราชอาณาเขตเวียงจันทร์ จนนครเวียงจันทร์ได้ส่งทหารกองทัพไปปราบ แต่ไม่มีใครปราบพญาช้างและโขลงช้างจำนวนมหาศาลได้ และย้อนมาเล่าถึงท้าวศรีโคตรก่อนจะไปปราบนั้น
ในแถบเมืองศรีโคตรบูรณ์ (คาดการว่าอาจจะเป็นแถบบ้านชาวกุย)มีเด็กคนหนึ่งแปลกมากเป็นเด็กแต่กินข้าวเยอะมากถึง 7 หม้อ ถึงจะอิ่มพ่อแม่ทนเลี้ยงไม่ไหว จึงฝากให้ไปอยู่กับพระอาจารย์ที่วัด เพื่อเป็นเณร เผื่อจะมีข้าวที่ชาวบ้านทานเหลือกินบ้าง และพระอาจารย์ท่านก็ได้เอ็นดูในความซื่อของเด็กคนนี้...และพร่ำสอนวิชาคาถาต่างๆให้ แต่วันหนึ่งชาวบ้านเกิดเหตุอันใดไม่ทราบ ไม่ได้พากันมาทำบุญพระอาจารย์ทางวัดเลย ท่านจึงให้ศรีโคตรไปหาข้าวสารมาหุงที่วัด ไม่มีไม้กวนข้าว(ข้าวเจ้า) ระหว่างทางได้ไปหาหักไม้อะไรไม่ทราบแปลกๆ มาทำเป็นที่กวนข้าว พอกวนข้าวแล้วปิดฝาหม้อไว้ พอข้าวสุกเสร็จยกไปถวายพระอาจารย์ พอเปิดหมอข้าว พระอาจารย์เห็นว่าข้าวดำยังกับถ่าน เลยค่อนข้างไม่พอใจ ไม่กิน และบอกให้ศรีโคตรกินคนเดียวให้หมด
ศรีโคตรคนซื่อก็เลยกินข้าวในหม้อนั้นจนหมด แต่พอกินเข้าไปเกิดเรื่องแปลกๆกับตนเอง คือ ตนเองเหมือนเกิดมีกำลังวังชามากราวกับช้างศาล ขนาดหักไม้ต้นใหญ่ได้เป็น 2 ท่อน ถึงขนาดเอาไม้ใหญ่มาทำเป็นตะบองอาวุธคู่กาย ดาบหรือใดๆเมื่อเจอไม้ซุงแฝกนี้คงไม่อาจต้านทานได้.... ซ้ำร่างกายแข็งแรง อยู่ยงคงกระพัน จะศาสตราวุธ ดาบ หอก ฆ้อนก็ไม่อาจทำอะไรร่างกายตนได้
เมื่อพระอาจารย์เห็นเรื่องราวแปลกๆเกิดขึ้นกับเณรในการดูแลตนแบบนั้น เลยลองมานั่งดูทางในทำนายทายทักดู เลยรู้ว่าเป็นบุญญาวาสนาของศรีโคตร ที่จะได้กินข้าวในหม้อนั้นเพียงคนเดียว และศรีโคตรจะเจริญภายภาคหน้าถึงกับเป็นใหญ่เมื่อขึ้นทางเหนือ แต่จะมีภัยในตัวเองในภาคหน้า เพราะผู้หญิง
พระอาจารย์จึงกล่าวบอกว่า เณรลาสึกขึ้นเหนือเถิด เณรนั้นก็มีวิชาต่อไปภายภาคหน้าจะได้เป็นใหญ่ ไม่มีเดรัจฉานหรือพญาใดทำอะไรเจ้าได้....แต่มีจุดอ่อนเพียงตรงเดียวคือรูทวารที่เอาไว้ขับถ่ายร่างกาย อย่าบอกใครให้รู้ห้ามบอกใครทั้งสิ้น ศรีโคตรจึงทำตามที่พระอาจารย์ตนบอก
พอท้าวศรีโคตรขึ้นเหนือประจวบเหมาะกับช่วงนั้น เกิดเหตุโกลาหลในนครเวียงจันทร์ทางนั้น เพราะ พญาช้าง...พาโขลงช้างบริวารนับล้านตัวเข้ามาแถบเวียงจันทร์กองทัพเวียงจันทร์ก็ปราบก็ไล่ไม่ได้ จนประกาศหาคนดีมีฝีมือมาปราบ ใครปราบได้จะให้ครองนครครึ่งหนึ่ง และสร้างเฮือนหิน (ปราสาท) ให้อยู่และจะยกลูกสาว นางเขียงข่อมเทวีให้ครองร่วมเฮือนหินขณะนั้นศรีโคตรได้ข่าว ว่าเกิดพญาช้างพาบริวารมาสร้างความวุ่นวายและเจ้าเมืองเวียงจันทร์ประกาศเช่นนั้น อาละวาดในเวียงจันทร์เลยขออาสาไปปราบ
ด้วยว่า ศรีโคตรนั้น เป็นคนมีกำลังวังชา ช้างพญาตัวนั้นก็กำลังวังชามากเช่นกัน ด้วยที่มีวิชาปราบกำราบช้างชาวกุย และวิชาอาคมต่างๆเข้าสู้กัน ตามล่าสู้กันถึง7 วัน 7 คืน ชาวบ้านพากันเห็นออกไล่ติดตาม ทั้งสอง สู้กันรัดฟัดเหวี่ยงเข้าไปในป่า ในภูเขา พอชนะสามารถปราบพญาช้างได้ ช้างทั้งโขลงเห็นจ่าโขลงตนแพ้พ่ายจึงเกิดความกลัว แตกกระเจิง ไปทั่วสารทิศ ชาวบ้านแถบนั้นดีใจกันมาก เจ้าเวียงจันทร์เองดีใจมากเพราะโขลงช้างนับล้านไปแล้ว และคิดว่าคงเป็นมหาบุรุษ ปานเทวดามาช่วยตน ได้เขยเป็นราวเทวดา
แต่พอมาเจอศรีโคตรเข้าพบโดยตรง กลับผิดหวัง ศรีโคตรมีตัวล่ำสัน ผิวคล้ำ หน้าไม่งาม (ตามชาติพันธ์พื้นเมืองแถบนั้น) จมูกแบนนางเขียวก็แอบเศร้าใจ เพราะ จะได้สามีอัปลักษณ์
เจ้าชายเชื้อราชพระวงศ์คนหนึ่งก็ไม่ค่อยพอใจ ที่คนที่ตนแอบหมายปองจะมามีคู่กับไพร่อัปลักษณ์...(คนเคยเกี้ยวกัน) แต่เจ้านครเวียงจันทร์ให้สัจจะไปแล้วเลยทำตามสัจจะที่ให้ไว้ และเรียกผู้วิเศษคนนี้ว่า ท้าวศรีโคตรพระตะบองเพชร เพราะมาจากแดนศรีโคตรบุรณ์ และมีตะบองยักษ์เป็นอาวุธของตน
ต่อมา ศรีโคตรเป็นคนดี คนซื่อ ได้ครองรักกับเจ้าหญิงเขียวข่อมเทวีในปราสาทตน ศรีโคตรเป็นสามีที่ดี นางเขียวเองก็รัก(แบบเห็นใจ) แต่ก็รักสามีตนในความดีและซื่อ จนวันหนึ่งเจ้าชายเชื้อพระวงศ์ไม่พอใจ แอบยุให้ เจ้าเวียงจันทร์กำจัดศรีโคตร กล่อมว่า 2 เสือ เมือง 2 เจ้าผิดโบราณ น่าอับอายปวงราษฏร์ต่อไปชาวเมืองจะพานิยมบารมีศรีโคตร จนแย่งราชสมบัติพระองค์ ทั้งๆที่ศรีโคตรไม่เคยคิดการใหญ่พอใจในสิ่งที่เกินมี
พระเจ้าเวียงจันทร์ระแวง และหลงเชื่อ เลยหาวิธีกำจัด อ้างไปอุทยานล่าสัตว์เล่นกันบ้าง แล้วแต่งทหารฝีมือดีออกทำทีเป็นโจรป่า มาดักทำร้ายศรีโคตร แต่ก็ฟันแทงไม่เข้าทำทุกวิธีทางก็ไม่ตาย ลอบวางยาก็ไม่ได้เพราะศรีโคตรมักชอบกินอาหารที่เมียทำ นั่งช่วยเมียทำก็เลยหมดหนทาง แต่เจ้าชายเองก็นึกถึงนางเขียวขึ้นมา ก็เลยไปใช้เล่ห์อุบาย หลอกถามนางเขียว ว่าสามีเธอนั้นเก่งกาจนัก บารมีเหลือล้น มีคนทำอันตรายไม่ได้เลยหรือ สามีเธอแพ้แสลงสิ่งใดเล่าเมื่อนางเขียวข่อมได้ฟังเองก็รู้สึกสงสัย ตามประสาเด็กสาว จึงไปอ้อนไปถามเพราะความอยากรู้ ว่าท้าวศรีโคตรทำไมท่านช่างมีบุญยิ่งนัก ไม่มีอะไรทำอะไรท่านได้ไปหลอกถาม
นางเขียวเองก็คนซื่อ(บื่อ) ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเลยไปถามผัวเอง ถามเท่าไรก็ไม่บอก ส่อถามไปเรื่อยจนศรีโคตรใจอ่อนบอกนางเขียวไปว่า
"ในวัฐสงสารเรานี้ ไม่ว่าพญาเจ้า ยักษ์ ผี หรือ มนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานที่ไหนในโลกก็ฆ่าตนไม่ได้ไม่มีผู้ใด ทำอะไรเราได้ เว้นแต่สมัยบวชพระอาจารย์บอกว่า นอกจากจะกระทำที่รูทวาร" นางเขียวข่อมเมื่อรู้ก็ดีใจ
ต่อมาเมื่อไปเยี่ยมพ่อ พ่อก็ถามนางก็อวดตามประสาความซื่อไร้เดียงสาว่า ตามที่รู้คุยโอ้โสกันไป เมื่อเจ้านครเวียงจันทร์และพวกตนทราบก็ หาช่างยนต์ดำเนินการสร้าง ธนูยนต์เพื่อจะยิงรูทวารท้าวศรีโคตร แล้วเชิญให้ท้าวศรีโคตรมากินเลี้ยง แล้วให้ลูกสาวทำลาบหอยใส่สลอต (ของแสลงที่ทำให้ท้องเสียต่างๆ) กินกันไปพูดคุยกันไป ต่างคนต่างกินไม่ระแวงกัน จนศรีโคตรปวดท้อง
บริเวณท้องพระโรงได้ทำห้องบังคลหนัก(ส้วมถ่าย) โดยได้วางยนต์หอกในส้วมถ่ายนั้นพอเสวยเสร็จและท้าวศรีโคตรเข้าห้องบังคลหนัก วางเท้าไม้พสด 2 แคม พอเท้าเหยียบนั่งลงยองๆ ยนต์ธนูหอกก็ทำงาน คือหอกก็แล่นขึ้นทางฮูเก่า แล้วจึงลั่นไกให้หอกพุ่งสวนเข้ารูทวารศรีโคตร เมื่อศรีโคตรโดนสวนเข้ารูทวารร้องลั่น พอท้าวศรีโคตรโดนเข้า เลยเกิดความผิดหวังและเสียใจโศกเศร้า นึกถึงนางเขียวที่รู้ความลับของตน ก่อนศรีโคตรจะตาย
ศรีโคตรนั้น ทั้งความโศกเศร้าทั้งแค้นที่โดนทรยศ +วาจาสิทธิ์ และบุญบารมีที่ตนมีและเคยสร้างทั้งหมด ได้ขอสาปแช่งเมืองนี้ไว้ว่า จากคำสาปบางตอนที่เจ้าสีโคตรสาปเวียง.....
สาธุเด้อลาวบ่ซื่อให้มันเป็นจั่งซีไปตลอดอวสาร
เวียงจันทน์ล้านช้าง อย่าให้ฮุ่งเฮืองเวียงศรี
ผู้ใดมาครองสร้าง ปกครองตุ้มไพร่
พญาใด๋มาครองอย่าให้มันเจริญได้
ให้มันเลวละมันข้ากันตายเท่าซั่ว
ให้มันฮ่างอยู่เรื่อยเจริญขึ้นสั่วคราว
ขอให้ฮุ่ง เพียงช้างพับหู
มีท่องูแลบลิ้นคราวน้อยให้ตำลง...... ฯลฯ
พอนางเขียวผู้เมียได้ยินเสียงอึกกะทึก เลยรีบเข้าไปดู พอเห็นภาพสามีโดนหอกปักก้น และสาปแช่งยังงั้น เลยรู้สึกผิดเสียใจโศกเศร้าอย่างมาก เพราะสามีตนต้องมาตายเพราะความโง่เขลาของตน แถมก่อนตายสามีก็ได้สาปแช่งไว้ว่า อันเมืองของพวกตนนี้ มีแต่คนที่หาสัจจะมิได้ ข้างฝ่ายเจ้าเทวีมเหสีซึ่งเป็นคนซื่อได้สารภาพกับศรีโคตรว่ามิได้รู้ความที่พระบิดาต้องการเอาชีวิตเพียงแต่บอกไปด้วยความซื่อเท่านั้น ศรีโคตรได้ฟังแล้วและรู้ว่านางมิได้หลอกลวงตนจึงบอกว่า
เอาเถิดก่อนเราตายเห็นแก่ความเป็นผัวเมียกันเห็นแก่ความซื่อสัตย์ของเจ้า ต่อแต่นี้ขอให้พวกเจ้าได้พบความสุขแค่เพียง ช้างพับหู งูแลบลิ้น จนกว่าจะได้ หินฟู งูใหญ่พาด ช้างเผือกและราชาที่เป็นธรรมิกราช จึงจะให้พ้นคำสาปนี้.."..(บ้างตำราก็มีนกยักษ์บินเข้ามาอยู่ในเวียงจันทร์) แล้วศรีโคตรก็เหาะกลับ(ตามตำนาน)ไปที่แม่น้ำเพราะไม่ไหว
แล้วอธิฐานให้สายน้ำพัดพาไปเกยตื้นที่ดินแดนศรีโคตรบูรณ์ให้ค้างเกยตื้นตายเป็นศพอยู่ที่นั้น นับแต่นั้นมา เมืองล้านช้างก็มิได้มีความสงบสุขอีกเลย ......แต่ว่าด้วยความรักบ้านเมือง เลยขอสามีว่าขอวิธีแก้คำสาปด้วย ด้วยความที่ศรีโคตรใจอ่อนรักเมียมาก เลยทำนายคำแก้คำสาปไว้ว่า บ้างก็ว่า หินฟูกลางน้ำนั้น อาจจะหมายถึงสะพานไทยลาว ไม่ก็เขื่อนในลาว บ้างก็ว่า งูใหญ่พาด อาจหมายถึงถนนหนทางในลาว การคมนาคม เป็นแดนลิงค์ให้ไทย ญวน จีน กัมพูชาค้าขายกัน บ้างก็ว่า ช้างเผือก อาจร่วมไปถึงราชาที่เป็นธรรมิกราช อาจเป็นอันเดียวกัน เพราะเรื่องในหลวงเสด็จเวียงจันทน์ปี 37
คนลาวเชื่อว่า การเสด็จพระราชดำเนินเหยียบนครเวียงจันทน์ในวันนั้น เป็นการลบล้างอาถรรพ์คำสาปแช่งนครเวียงจันทน์ตามตำนานเก่าแก่ของคนลาว หมายความว่า ตามความเชื่อของชาวลาว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา(รัชกาลที่๙ )  คือบุคคลที่มาลบล้างคำสาป ตามที่ตำนานนั้นได้กล่าวถึง
ที่มา https://plus.google.com/110478303214993213255/posts/emsARuDdbKt



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น