วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561

เหรียญหลวงปู่แสน ปสนฺโน รุ่น เสมาสิงห์ ๑ สมปรารถนา


เหรียญหลวงปู่แสน ปสนฺโน รุ่น เสมาสิงห์ ๑ สมปรารถนา
เหรียญหลวงปู่แสน รุ่น เสมาสิงห์ ๑ สมปรารถนา หลวงปู่แสน ปสนฺโน อายุ ๑๑๑ ปี วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกษ เป็นเหรียญที่มีเจตนาในการสร้างดีอีกรุ่นหนึ่ง คือสร้างเสนาสนะ วัดบ้านหนองจิก อ.ขุนหาญ จ. ศรีสะเกษ น่าจะเป็นการสร้างจากวัดโดยตรงไม่ใช่นายทุน เพราะมีความรู้สึกว่านักสะสมพระเครื่องไม่ให้ความสนใจมากนัก แปลกนะครับสมัยนี้ วัตถุมงคลที่มีเจตนาในการสร้าง มักไม่ค่อยได้รับความนิยม นี่แหละครับนักนิยมพระเครื่องสมัยใหม่ ที่เห็นแก่ผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่า
หลวงปู่แสน เป็นพระเกจิชื่อดังแห่งอีสานใต้ เล่าขานกันว่าทรงคุณพุทธาคมเข้มขลัง วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกษ มีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน มีจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ได้รับสมญานาม เทพเจ้าแห่งเขาภูฝ้ายใกล้ชายแดนเขมรปัจจุบันมีอายุ 111 ปี
มีนามเดิมชื่อ แสน คุ้มครอง เกิดที่บ้านโพรง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ขุขันธ์ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ) เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2450 มีพี่น้องรวม 6 คน เมื่อครั้นยังเด็กเป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรง และพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้นให้การเลี้ยงดู  จนเรียนจบชั้น ป.4
ต่อมาได้บรรพชา ได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอใต้ พระเกจิชื่อดัง ทั้งภาษาขอม อักษรธรรม และภาษาบาลีด้วย
กระทั่งอายุ 21 ปี เข้าพิธีอุปสมบท และยังคงเรียนวิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง
ครั้นอายุ 24 ปี ได้ลาสิกขาออกมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน และเป็น หมอธรรมช่วยเหลือผู้คนในชุมชนจนได้รับความเคารพนับถือ ยามเว้นว่างจากการทำเกษตรกรรมก็ชักชวนเพื่อนหมอธรรมด้วยกันเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา เพื่อศึกษาวิทยาคมเพิ่มเติม ได้พบพระผู้ใหญ่และพระอาจารย์มากมาย โดยจะเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือและรักษาผู้คนเท่านั้น
เมื่อหมดภาระทางบ้าน กลับเข้าสู่ใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง ไปจำพรรษาที่บ้านกุด เสล่า อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ แต่ยังคงปฏิบัติธุดงค์ มักออกธุดงค์ไปตามเทือกเขาพนมดงรักเป็นนิจ
ต่อมาหลวงตาวัน สหธรรมิกรุ่นน้องได้ไปกราบนิมนต์ให้มาช่วยสร้างวัด โดยเจ้าคณะอำเภอกันทรลักษ์อนุญาตให้หลวงปู่แสนไปอยู่ที่วัดอรุณสว่างวราราม(วัดบ้านกราม) แต่ด้วยท่านรักสมถะ ปีต่อมาจึงได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์โนนไทย(วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่ถึง 3 ปี
กระทั่งเห็นสภาพวัดบ้านหนองจิกที่จะกลายเป็นวัดร้าง เนื่องจากมีพระภิกษุจำพรรษาน้อยและไม่มีผู้ดูแลพัฒนา ท่านจึงย้ายจากสำนักสงฆ์โนนไทย ไปจำพรรษาที่วัดหนองจิกและทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระเข้ามารับช่วงต่อ จำพรรษาอยู่เป็นเวลา 4 ปี โยมญาติจากวัดบ้านโพรงที่ท่านบวชเป็นสามเณร เดินทางมานิมนต์ท่านให้ไปจำพรรษาเพื่อช่วยพัฒนา เนื่องจากวัดใกล้จะร้างด้วยไม่มีพระจำพรรษา
อายุย่างเข้า 93 ปี ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดในช่วงนั้น จนเมื่ออายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพ จึงได้พาชาวบ้านไปนิมนต์กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านหนองจิก ตราบจนถึงทุกวันนี้



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น