วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เหรียญหล่อโบราณ ร.ศ.237หลวงปู่สอ ขนฺติโก อายุ 113 ปี





เหรียญหล่อโบราณ ร.ศ.237หลวงปู่สอ ขนฺติโก อายุ 113 ปี
ตำนานบูรพาจารย์ เหรียญหล่อโบราณ ร.ศ.237 ( รุ่นแรก ) หลวงปู่สอ ขนฺติโก อายุ 113 ปี เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง วัดโพธิ์ศรี ท่าอุเทน นครพนม







เหรียญมนต์มหาปราบหลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี



เหรียญมนต์มหาปราบหลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี
บุตรแห่งพระพาย ผู้ไม่มีวันตาย ตำนานมนต์มหาปราบตำนานการสร้างเหรียญ เหรียญมนต์มหาปราบบูรพาจารย์สายสำเร็จลุน อริยะสงค์ 6 แผ่นดิน หลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ปฐมบทแห่งนครพนม สะท้านแผ่นดิน หนุมานผู้นำชัยชนะ ปราบความจน ทุกข์ยาก ปราบอุปสรรค ปราบศัตรูหมู่มาร ล้างผลาญสิ่งอัปมงคล ดลให้มีชัยชนะ แพ้ไม่เป็น
มนต์มหาปราบ ด้วยบารมีหลวงปู่สอ ขันติโก บูรพาจารย์สายสำเร็จลุน อริยะสงค์ 6 แผ่นดินและหลวงปู่หมุนเป็นปฐม ด้วยโบราณจารย์ท่านวางกลซ่อนวิชาทั้งอักขระเลขยันต์จึงทำให้เหรียญพิมพ์นี้มีดีและเด่นเป็นที่ประจักษ์ ลอยอยู่ตรงพักตร์ชนนี รัศมีโชติช่วงในเวหา มีกุณฑลขนเพชรอลงการ์ เขี้ยวแก้วแววฟ้ามาลัย หาวเป็นดาวเดือนระวีวร แปดกรสี่หน้าสูงใหญ่สำแดงแผลงฤทธิ์เกรียงไกร แล้วลงมาไหว้พระมารดร
หนุมาน เป็นลิงที่มีฤทธิ์มาก สามารถสำแดงเดชต่าง ๆ ได้หลายประการ เช่น การขยายร่างกายให้ใหญ่โต การยืดหางให้ยาว เป็นต้น นอกจากนี้ หนุมานยังได้ชื่อว่าเป็นอมตะ คือ ไม่มีวันตาย เนื่องจากเป็นบุตรของพระพาย (ลม) กับนางสวาหะ ด้วยเหตุนี้ เมื่อหนุมานมีอันตรายถึงตายแล้ว เพียงแค่มีลมพัดมา หนุมานก็จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ด้วยอำนาจของพระพายผู้เป็นบิดา
พิธีมหาพุทธาภิเษก
วาระที่ 1 วันอาทิตย์ ที่ 28 เมษายน 2561
พิธีมหาพุทธาภิเษก เหล็กเปียก รุ่นมรดกศรีโคตรบุณย์เพิ่มความเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ได้นำพระกริ่งชินบัญชร พระขุนแผนพรายกุมาร เหรียญสบาย มาเสกวาระสุดท้าย และเสกนำฤกษ์เหรียญมนต์มหาปราบหลวงปู่สอ ขันติโก ที่โบสถ์หน้าองค์พระธาตุพนม โดยมีพระเทพวรมุณี เจ้าอาวาส เจ้าคณะอำเภอนครพนมเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระสงฆ์เจริญพุทธมนต์ 88 รูป รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายดำรง สิริวิชย อิ่มวิเศษ เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนไตร
ท่านพันเอก วีรยุทธ รักศิลป์ ผบ ร16 ค่ายบดินทร์เดชาจังหวัดยโสธร เป็นประธานจุดธูปเทียนเครื่องบรวงสรวง ข้าราชการ ทหาร พ่อค้าประชาชน ร่วมพิธีอีกมากมาย แจกพระขุนแผนพรายกุมาร เนื้อก้นครก จำนวน300 องค์
วาระที่ 2 วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม 2561 แรม 14 ค่ำเดือน 6 ปีจอ ปลุกเสกเดียวเข้มขลัง ไฟดับ3 ครั้งรงกับวันพืชมงคล มหาฤกษ์อุดมมงคล ราชาฤกษ์กำเนิดดวง เปลี่ยนยาจกเป็นเศรษฐี จากเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐี ผู้พิชิตอุปสรรค ปราบความยากจน อมตะเถระ 6 แผ่นดิน หลวงปู่สอ ขันติโก บูรพาจารย์สายสำเร็จลุน วัดโพธิ์ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ได้เมตตา อธิษฐานจิตปลุกเสก ตั้งธาตุ ตั้งขันเรียกรูปเรียกนาม เหรียญ มนต์มหาปราบ รุ่นแรก วาระที่2
โดยระหว่างอธิษฐานจิตปลุกเสก ไปสักครู่ ได้เกิดไฟฟ้าดับติดกันถึง 3 ครั้ง นับเป็นปรากฏการณ์ อัศจรรย์แก่ศิษย์ผู้เข้าร่วมพิธีปลุก หลังจากเสกเสร็จ หลวงปู่สอได้อวยพรดีแล้วเต็มแล้ว ให้ร่ำรวย โชคหมานๆ เด้อ
ทางคณะผู้จัดสร้างได้ทำบุญถวายเข้ากองทุนองค์หลวงปู่สอ เป็นจำนวนเงิน 100000 บาท หลังจากนั้นได้ทำลายบล็อกเรียบร้อย
วาระที่ 3 วันที่ 19 พฤษภาคม 2561 เสาร์๕ เป่ายันต์เกราะเพชร มหาพุทธาภิเษกเททองหล่อพระประธาน ได้นำเหรียญมนต์มหาปราบ เข้าพิธี เข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ปลุกเสกโดยหลวงพ่อคูณ วรปัญโญ วัดบัลลังก์ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา
วาระสุดท้าย วันดีฤกษ์ มหามงคล วันที่ 4 มิถุนายน 2561
เปิดสวนฤาษี สระมรกต วงเวียนพระศิวะ อาจารย์วันชัย สุพรรณ โดยพระพรหมมังคลาจารย์ (เจ้าคุณธงชัย) วัดไตรมิตร กรุงเทพ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หลวงปู่นนท์ สำนักสงฆ์เขาพานธูป ได้เมตตาอธิษฐานจิต เจิมเหรียญมนต์มหาปราบ



วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ประวัติพระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)




ประวัติพระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)
พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร)เกิด      2 กรกฎาคม พ.ศ. 2468 อายุ  93 อุปสมบทพ.ศ. 2489 มหานิกาย พรรษา        74วัด   วัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว)            กาฬสินธุ์สังกัธรรมยุตนิกาย ญัตติ พ.ศ. 2490วุฒิการศึกษา        นธ.เอกตำแหน่งทางคณะสงฆ์            เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) อดีตรองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์


พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร) หรือ หลวงปู่ไดโนเสาร์ พระภิกษุในพุทธศาสนานิกายเถรวาท คณะธรรมยุติกนิกาย ชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ในราชทินนามตามสัญญาบัตรว่า พระญาณวิสาลเถร เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ และอดีตรองเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์เป็นพระเถราจารย์ผู้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด เป็นที่น่าเคารพสักการบูชาของบรรดาศิษยานุศิษย์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่พุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่า และได้ค้นพบกระดูกไดโนเสาร์ ทำให้มีการขุดค้น โดยเป็นแหล่งไดโนเสาร์กินพืชที่สมบูรณ์ที่สุดของประเทศไทย และยังมีการสร้างพิพิธภัณฑ์สิรินธร บริเวณที่ขุดค้นพบอีกด้วย
ประวัติ
พระญาณวิสาลเถร (หลวงปู่หา สุภโร) ท่านมีนามเดิมว่า หา ภูบุตตะ เกิดวันศุกร์ที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ ตรงกับวันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๘ ปีฉลู ที่บ้านนาเชือก ตำบลเว่อ (ปัจจุบันเป็นตำบลนาเชือก) อำเภอยางตลาด (ปัจจุบันเป็นอำเภอเมือง) จังหวัดกาฬสินธุ์ บิดาชื่อ นายสอ ภูบุตตะ มารดาชื่อ นางบัวลา ภูบุตตะ มีพี่น้องรวมกัน ๗ ท่าน
ท่านถือกำเนิดในตระกูลที่มีฐานะดีในหมู่บ้านนาเชือก ซึ่งอพยพมาจากจังหวัดอุบลราชธานี มีฝูงวัวมากกว่า ๓๐ ตัว มีที่นากว่า ๖๐ ไร่ มารดาเลี้ยงหม่อนเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะมั่นคงที่สุดในแถบนั้น เมื่อท่านเป็นฆราวาส ท่านมีความขยันหมั่นเพียร และความอุตสาหะ ท่านช่วยโยมบิดามารดาทำงานทุกอย่าง ท่านได้สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ที่โรงเรียนวัดบ้านนาเชือกเหนือ ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ท่านก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นทหารอาสาเพื่อไปร่วมรบในสงคราม และท่านได้เข้ารับการฝึกซ้อมรบ ภายหลังก่อนที่ท่านจะไปในสงครามจริงๆ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็ได้ยุติลงก่อนในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ครั้งนึงท่านชอบการต่อยมวยมาก ท่านชอบไปต่อยมวยตามงานวัดต่างๆ ในเวลาว่างจากการทำนาและงานอื่น แต่โยมบิดาของท่านไม่ชอบที่ท่านเป็นนักมวยนัก พอช่วงอายุประมาณ ๒๐ ปี คุณยายของท่านก็ได้ปรารภกับท่านว่าอยากจะให้ท่านบวชให้คุณยายของท่านหน่อย อันเป็นที่มาของการออกบวชภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ในบวรพระพุทธศาสนา
ท่านอุปสมบท เมื่ออายุย่างเข้า ๒๑ ปี ที่สิมน้ำ ณ วัดสว่างนิวรณ์นาแก ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยมีหลวงปู่ลือ เป็นพระอุปัชฌาย์ สังกัดมหานิกาย เมื่อท่านบวชแล้วก็มาอยู่ที่วัดสุวรรณชัยศรี ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ขณะนั้นที่นั่นการปกครองในคณะสงฆ์ยังไม่ทั่วถึงมากนัก การบวชของคณะธรรมยุตและคณะมหานิกายยังไม่มีการแยกจากกัน ยังคงใช้พระอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ทางคณะสงฆ์ได้ประกาศว่า พระอุปัชฌาย์สังกัดนิกายอะไรผู้บวชก็ต้องสังกัดนิกายนั้น พระครูประสิทธิ์สมณญาณ จนฺโทปโม เจ้าอาวาสวัดสุวรรณชัยศรี (ศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สมัยท่านจำพรรษาอยู่แถบจังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านจึงได้ขึ้นไปอบรมการเป็นพระอุปัชฌาย์ของคณะธรรมยุต ต่อมาเมื่อท่านอายุ ๒๒ ปี ท่านได้ญัติติเป็นธรรมยุต ที่สิมน้ำ ณ วัดบ้านหนองโจด (ปัจจุบันเป็นที่นาชาวบ้าน) ตำบลนาเชือก อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อ วันที่ ๒๑ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๐ เวลา ๑๓.๐๐ น. โดยมีพระครูประสิทธิ์สมณญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูปลัดอ่อน ขนฺติโก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระใบฎีกาทองสุข สุจิตฺโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีฉายา ว่า สุภโรแปลว่า ผู้เลี้ยงง่าย
เมื่อท่านยังเป็นพระนวกะ (ผู้บวชใหม่) ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้จำพรรษาที่วัดสุวรรณชัยศรี จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี และ ในปีพ.ศ. ๒๔๙๕ สอบได้นักธรรมชั้นโทที่วัดขวัญเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ และในปีพ.ศ. ๒๔๙๗ ได้มีโอกาสศึกษาต่อที่วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพมหานคร จนสำเร็จนักธรรมชั้นเอก ท่านได้มีโอกาสอุปัฏฐากท่านเจ้าประคุณสมเด็จมหามุนีวงศ์ (สนั่น จนฺทปชฺโชโต) และด้วยความที่ท่านมีนิสัยใฝ่เรียนรู้ ท่านจะเรียนบาลีเป็นประจำทุกวัน เมื่อเว้นว่างจากการเรียนบาลีแล้ว ท่านก็จะเดินทางด้วยเท้าเปล่าเพื่อไปเรียนกรรมฐานจากพระธรรมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินธโร) วัดธรรมมงคล และพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ลี ธมฺมธโร) ที่วัดบรมนิวาส
เมื่อเรียนไปได้สักระยะหนึ่ง ท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคดีซ่าน การเรียนทั้งปริยัติและปฏิบัติจึงได้ระงับไว้ก่อน เมื่ออาการหนักมากจนถึงขั้นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสงฆ์ถึง ๓ เดือน โดยไม่มีท่าทีว่าจะหาย หรือดีขึ้นเลย ท่านจึงทอดอาลัยในชีวิต แล้วตั้งความปรารถนาขอใช้ชีวิตที่เหลือในการรับใช้พระศาสนาให้สมกับที่เป็นผู้อุทิศตนต่อชาวโลก โดยท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้วมรกต) ว่า หากข้าพเจ้าจะมีชีวิตในการบวช ขอให้โรคหาย ถ้าหากจะไม่มีชีวิตแล้ว ขอให้ตายกับผ้าเหลืองท่านมีความคิดว่าหากได้บวชอยู่นานๆ จะได้ทำประโยชน์ในพระศาสนาให้สมกับที่เป็นผู้อุทิศตนต่อชาวโลก จากนั้นท่านจึงเดินทางกลับมาที่บ้านเกิดเพื่อตั้งต้นดำเนินภารกิจดังที่ตั้งปณิธานไว้ และได้ตั้งสัตยาธิษฐานอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้ได้อยู่ป่าทำความสงบสบายทางจิต
ด้วยอานิสงส์แห่งการอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา ในขณะนั้นท่านก็ได้รับการรักษาจากหมอพื้นบ้าน และการอบรมทางใจจากการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานเข้าช่วยเหลือ จึงเป็นผลให้อาการของโรคทุเลาลงจนหายขาดในที่สุด เมื่อหายเป็นปกติแล้วท่านจึงออกเที่ยวปฏิบัติรุกขมูล หาความวิเวกทางกายและใจออกธุดงค์ไปยังภาคต่างๆ ในประเทศไทยแทบทุกจังหวัด ไปทุกมุมเมืองในภาคอีสาน และข้ามไปยังฝั่งลาว ไปถึงนครเวียงจันทน์ถึงสองครั้ง เข้ากัมพูชา จนเห็นผลทางจิตอันแน่นอนแล้ว ท่านจึงกลับมาช่วยงานพระศาสนาดังปฐมปณิธาน
การค้นพบกระดูกไดโนเสาร์
ในขณะที่ท่านกำลังดำเนินการก่อสร้างวัดสั่งสอนผู้คนพุทธศาสนิกชน สอนปริยัติธรรมแก่พระภิกษุ-สามเณรบริหารการปกครองคณะสงฆ์อยู่นั้นท่านก็ไม่ทิ้งการปฏิบัติในทางการอบรมจิตทำสมาธิภาวนา เมื่อมีเวลาว่างท่านจะขึ้นบนยอดภูกุ้มข้าวกางกลดนั่งสมาธิครั้งละ ๑๕ วัน โดยไม่ฉันอาหารไม่เข้าห้องน้ำ อบรมจิตใจตนเองอย่างนี้โดยวิธีนี้เรียกว่าการเข้า ปฏิสลีมีเพียงบางวันที่สามเณรจะเอายาต้มไปส่งแต่ถ้าเห็นหลวงปู่ไม่เปิดกลดก็จะกลับลงมาโดยไม่ได้ถวายยาต้มนั้นในบางปีท่านฉันภัตตาหารเพียงวันเข้าพรรษาและวันออกพรรษาเท่านั้น ประมาณปี ๒๕๓๔ ท่านได้พบนิมิตโอภาส คือพบแสงสว่างที่ใสมากเป็นแสงที่ท่านไม่เคยพบในโลกนี้สว่างไปทั่วโลกธาตุ สว่างทั้งจักรวาล มองทะลุภูเขา มองทะลุต้นไม้มองเห็นทุกอย่างอยากเห็นสิ่งใดก็เห็นไปหมด แล้วก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่ง คอยาว ตัวใหญ่กว่าช้างเท้าใหญ่เท่ากระบุง เดินไปเดินมาในบริเวณภูกุ้มข้าว กินยอดไม้ เล่นน้ำ และล้มลงตายขณะที่เห็นมีลักษณะเป็นเหมือนฟีมล์หนังกลางแปลงในสมัยก่อนพอสัตว์นั้นตายลงก็หมดม้วนพอดี เป็นอย่างนี้อยู่ ๒-๓ ครั้ง ในปี ๒๕๓๖ และปี๒๕๓๗ก็มีลักษณะเดียวกัน ครั้งสุดท้าย พอเห็นจบแล้วก็มีเสียงมาบอกว่า จะมาขออยู่ด้วยเตรียมตัวไว้พรุ่งนี้จะมีฝนมาจากทิศอุดรห่าใหญ่ผมจะมากับฝน ครั้งล่าสุดท่านเข้าปฏิสลีได้เพียง ๓ วันเท่านั้น ท่านจึงเก็บบาตรและกลดลงจากยอดเขาสั่งให้พระเณรเก็บสิ่งของไปไว้บนกุฏิเวลาประมาณเที่ยงวันฝนก็เริ่มตั้งเคาและตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาหลวงปู่ท่านได้กางร่มเดินออกมาตรวจบริเวณวัดขณะฝนตก ร่มที่กางโดนลมพัดจนหักและปลิวไปกับลมเหลือเพียงด้ามร่มเท่านั้น บริเวณทั้งหมดมืดไปหมดมองสิ่งใดไม่เห็นท่านจึงนั่งลงตรงที่เห็นสัตว์นั้นตายในนิมิต ฝนตกกว่า ๓ ชั่วโมงจึงเริ่มซาและหายไปในที่สุด จากฟ้าที่มืดก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นมาแผ่นดินที่เคยสูงโดนน้ำเซาะจนเห็นเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ หลายสิบชิ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณที่ท่านนั่ง ท่านก็สั่งให้คนเก็บกระดูกนั้นไว้และส่งข่าวไปยังนายอำเภอเพื่อมาตรวจสอบ ทางอำเภอจึงส่งข่าวไปยังศูนย์วิจัยไดโนเสาร์ที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เจ้าหน้าที่ก็ได้มาตรวจสอบปรากฏว่าเป็นไดโนเสาร์พันธ์กินพืชที่ใหญ่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบมา (ภายหลังให้ชื่อว่า อีสานโนซอรัสสิรินธรเน่) ต่อมามีการแจ้งว่าจะมีการจะขอทำการขุดค้นเพิ่มเติมจึงกราบเรียนถามองค์หลวงปู่เพื่อชี้จุดที่เห็นในนิมิตเพิ่มเติมท่านจึงได้ชี้ใต้ต้นไม้ทางทิศเหนือของวัดก็พบฟอสซิลไดโนเสาร์อีกหลายตัว(ปัจจุบันคือ อาคารหลุมขุดค้นไดโนเสาร์พระญาณวิสาลเถรเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ผู้ค้นพบครั้งแรก)อีกทั้งยังมีการรวบรวมฟอสซิลไดโนเสาร์จากทั่วสาระทิศมารวมที่วัดสักกะวันและก่อสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับสัตว์โลกล้านปีได้รับพระราชทานนามว่าพิพิธภัณฑ์สิรินธรคณะศิษย์ยานุศิษย์ ลูกหลาน จึงถวายฉายานามหลวงปู่ว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์” (แต่เดิมท่านชื่อพระหา ภายหลังได้รับถวายตำแหน่งพระฐานานุกรมในตำแหน่งพระสมุห์ชาวบ้านจึงให้ชื่อว่าพระอาจารย์สมุห์หาภายหลังเมื่อมีการถวายสัญญาบัตรพัดยศเป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระครูวิจิตรสหัสคุณชาวบ้านก็เรียกหลวงตาวิจิตร เมื่อท่านค้นพบไดโนเสาร์ชาวบ้านจึงนิยมเรียกท่านว่าหลวงตาวัดไดโนเสาร์ เมื่อเรียกบ่อยๆจึงเหลือแต่หลวงตากับไดโนเสาร์ แต่คณะศิษย์ในภายหลังไม่อาจเรียกท่านว่าหลวงตาได้(เพราะคำว่าหลวงตาคือคนที่มีครอบครัวแล้วมาอุปสมบท)จึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ไดโนเสาร์จวบจนปัจจุบัน)
สมณศักดิ์
ได้รับการแต่งตั้งพระฐานานุกรมในพระสุธรรมคณาจารย์ที่ พระสมุห์หา สุภโร
พ.ศ. ๒๕๐๕ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นตรี ที่ พระครูวิจิตรสหัสคุณ
พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นโท ที่ พระครูวิจิตรสหัสคุณ
พ.ศ. ๒๕๒๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร ชั้นเอก ที่ พระครูวิจิตรสหัสคุณ
พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ที่ พระญาณวิสาลเถร

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พระผงอายุยืน หลวงปู่สอ ขันติโก



พระผงอายุยืน  หลวงปู่สอ ขันติโก
ว่ากันด้วยเรื่องมวลสารที่นำมาผสมในรุ่นอายุยืน เนื้อหาจัดจ้านเข้มขลังด้วยสุดยอดมวลสาร สร้างตำนานพระผงสายหลวงปู่สอแน่นอน ดำเนินการผลิตโดย ช่างต้น กรวิษณุ ที่ฝากผลงาน
พระผงแสนเฮง หลวงปู่แสน ที่โด่งดังทั่วประเทศมาแล้วเรื่องผงไว้ใจช่างต้น ล้วนมีแต่ของศักดิ์สิทธิ์ หายาก ที่นำมารวมไว้ในองค์เดียวกัน ดังนี้
1.เกศาหลวงปู่สอ จีวรหลวงปู่สอ
2.ผงพุทธคุณ มอบให้โดยคุณเอกนครพนม
3.มวลสารอื่นๆเช่น ผงงาช้างหลวงปู่หมุน
4.ผงปัทมัง ผงอิทธิเจ
5.น้ำมันชาตรีหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
6.ผงพุทธคุณหลวงปู่บัว ถามโก สุดยอดเกจิ ตราด
7.ผงพรายกุมารหลวงปู่ทิมวัดระหารไร่
8.ว่านดอกทอง ว่านเครือเขาหลง ว่านพุทธคุณ108
9.ไม้มงคล 9 ชนิด













พระผงไข่ มหาเศรษฐี หมานเงิน หมานทอง หลวงปู่สอ ขันติโก



พระผงไข่ มหาเศรษฐี หมานเงิน หมานทอง หลวงปู่สอ ขันติโก
พระผงไข่ มหาเศรษฐี หมานเงิน หมานทอง หลวงปู่สอ ขันติโก วาจาสิทธิ์ บูรพาจารย์สายสำเร็จลุน อมตะเถระ6แผ่นดิน อายุ113ปี 93พรรษา
พระผงไข่ มหาเศรษฐี หมานเงิน หมานทอง หลวงปู่บอกว่า"บูชาดี เงินทองคล่องตัวดีนักแล"หลังจากหลวงปู่หยุดปลุกเสก กระแสความต้องการวัตถุมงคลของท่านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนสนนราคาขยับขึ้นหลายเท่าตัวทุกรุ่น





วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เหรียญเสมา มหาสมปรารถนา หลวงปู่สอ ขันติโก



เหรียญเสมา มหาสมปรารถนา หลวงปู่สอ ขันติโก
เหรียญเสมา มหาสมปรารถนา หลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี ท่าอุเทน นครพนม ปี 2561จากภาพเป็นเหรียญเสมา มหาสมปรารถนา หลวงปู่สอ ขันติโก เนื้อทองแดง หน้ากากปลอกลูกปืน หมายเลขประจำองค์๑๓๗๓
หลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง พระอริยสงฆ์ 6 แผ่นดิน 2 ฝั่ง ไทย-ลาว อายุ 113 ปี 93 พรรษา แห่ง วัดโพธิ์ศรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เป็นศิษย์หลวงปู่สีทัตถ์ อยู่ที่พระบาทโพนสัน ฝั่งลาวที่ภูเขาควาย และคอยติดตามรับใช้ท่าน จนหลวงปู่สีทัตถ์ละสังขารถึงได้กลับมายังฝั่งไทย ขณะนั้นยังมีครูบาอาจารย์ที่เป็นทั้งสหธรรมมิกและศิษย์ผู้พี่หลายๆท่าน ท่านเล่าว่าท่านมักจะไปกราบและอุปฐาก หลวงปู่สนธิ์ ท่าดอกแก้ว ศิษย์ผู้ใหญ่ในองค์หลวงปู่สีทัตถ์ ญาณสัมปัณโณ ซึ่งมีศักดิ์เป็นศิษย์ผู้พี่ของท่าน แต่ท่านก็ยกให้เป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่งของท่าน เลยทีเดียว นอกเหนือจากหลวงปู่สนธิ์แล้ว ยังมีหลวงปู่คาร คันธิโย หลวงปู่จันทร์ เขมมิโย วัดศรีเทพ ผู้เป็นศิษย์ผู้พี่ ขอศึกษากับท่านอยู่เป็นระยะ พุทธคุณดีเด่นในเรื่อง เมตตามหานิยม อำนาจบารมี โชคลาภ การงานเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาด
เหรียญเสมา มหาสมปรารถนา ได้ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ. วัดโพธิ์ศรี นครพนมในวันที่ 13 กรกฎาคม พศ.2561 ณ วัดโพธิ์ศรี ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนแปดหลัง(๘๘) ปีจอ
พระเกจิร่วมปลุกเสก 6 รูป มีรายนามดังนี้
1.หลวงปู่สอ ขันติโก วัดโพธิ์ศรี จ.นครพนม เมตตาจุดเทียนชัย
2.หลวงตาแหวน ทยาลุโก วัดป่าหนองนกกด จ.สกลนคร
3.หลวงปู่แก้ว สุจิณโณ วัดถ้ำเจ้าผู้ข้า จ.สกลนครเมตตา
4.หลวงปู่คำไหล ปริสุทโท วัดศรีชมภู จ.นครพนม เมตตาดับเทียนชัย
5.หลวงปู่อำนาจ ฉทโก วัดป่าแพงศรี จ.นครพนม
6.พระอาจารย์ปู ปัญญาวชิโร วัดศรีมงคล จ.นครพนม
ประธานฝ่ายฆารวาส
พันเอก อำนาจ ชนะชาญชัย  หลังเสร็จพิธีมีการถวายปัจจัย 200,000 บาทและทำลายบล็อคเป็นที่เรียบร้อยโดยมีประจักษ์พยานเป็นผู้เข้าร่วมในพิธี
วัตถุประสงค์:
 เพื่อสมทบทุนสร้างเจดีวัดโพธิ์ศรี และสมทบทุนกองทุนดูแลสุขภาพหลวงปู่สอ



เหรียญมังกรคู่ หลังยันต์ หลวงปู่แสน วัดบ้านหนองจิก




เหรียญมังกรคู่ หลังยันต์  หลวงปู่แสน วัดบ้านหนองจิก
เหรียญมังกรคู่ เนื้อทองแดงรมน้ำตาล แจกในพิธี หลวงปู่แสน วัดบ้านหนองจิก จ.ศรีสะเกษ ปี 2559 หมายเลขประจำองค์ ๑๓
ประวัติหลวงปู่แสน ปสนฺโน
ชื่อเดิม ปู่แสน คุ้มครอง เกิดขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ปีวอก ตรงกับ วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน 2451 เป็นบุตรของพ่อเอี้ยง คุ้มครอง และ แม่ผัน คุ้มครอง มี่พี่น้องต่างมารดาร่วม 6 คน หลวงปู่เป็นบุตรคนที่ 3 (ปัจจุบันเหลือหลวงปู่ผู้เดียว) พื้นเพเป็นคนบ้างโพง ต.ไพรบึง อ.ขุขันธ์ จ.ขุขันธ์ (ปัจจุบัน ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีษะเกษ) เมื่อครั่นยังเด็กหลวงปู่เป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดบ้านโพรงและพี่ชายซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านโพงในสมัยนั้นเลี้ยงดู จนได้บวชเณรที่วัดบ้านโพรง ระหว่างบวชเณรได้ไปศึกษาเรียนหนังสือกับหลวงพ่อมุมวัดปราสาทเยอร์จนจบ ป.4 และได้เรียนตำราพระเวชจากหลวงพ่อมุมทั้งภาษาขอม ภาษาธรรมบาลี ระหว่างเป็นเณรก็ได้เที่ยวไปมาระหว่างบ้านปราสาทเยอร์และวัดบ้านโพง จนกระทั่งอายุ 21 ปีได้เข้า
อุปสมบท ระหว่างเป็นพระก็ยังคงเรียนรู้วิชากับพระอาจารย์มุมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั้งอายุ 24 ปี ได้ลาสิกขาบทออกมาเพื่อมาช่วยงานทางบ้านที่มีฐานะยากจน หลังจากสึกได้บวชเป็นหมอธรรมขณะที่เป็นฆราวาส ระหว่างว่างเว้นจากการทำเกษตรกรรม หลวงปู่ได้ชักชวนเพื่อนๆหมอธรรมเดินทางไปเขมรเพื่อเรียนเพิ่มเติมที่จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐ และเมืองศรีโสภณ สมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายก ได้เข้าพบพระผู้ใหญ่และอาจารย์จากทางเขมรแล้วได้ร่ำเรียนมาไม่น้อย หลวงปู่ท่านกลับเลือกเรียนวิชาที่เกี่ยวกับช่วยเหลือผู้คน
รักษาคน ต่อมาพอหมดภาระทางบ้านหลวงปู่ได้กลับเข้าใต้ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้ง โดยไปจำพรราที่บ้านกุดเสล่า อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ก็ได้ธุดงค์ในเทือกเขาพนมดงรัก เป็นนิจ และเป็นพระที่อยู่อย่างสมาถะ ไม่มักมาก ไม่ยึดติด เป็นพระนักสร้าง ชาวบ้านกุดเสล่าจึงรักและศรัทธาท่านมาก ต่อมาหลวงตาวันพระที่เป็นสหายรุ่นน้องจึงได้ไปกราบนิมนต์มาช่วย
สร้างวัด โดยเจ้าขณะอำเภอกันทรลักษณ์อนุญาตให้หลวงปู่ไปอยู่ที่วัดเป็นวัดที่สมบูรณ์แล้ว หลวงปู่จึงมาจำพรรษาที่วัดอรุณสว่างวราราม(วัดบ้านกราม) แต่ด้วยมักสมาถะ ปีต่อมาจึงย้ายมาจำพรรษาที่สำนักสงฆ์โนนไทย (วัดกูไทยสามัคคีในปัจจุบัน) อยู่จำพรรษา 3 พรรษา ต่อมาได้จำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกเนื่องด้วยวัดจะร้างเพราะพระน้อย หลวงปู่จึงเข้ามาทำนุบำรุงวัดจนวัดมีพระเข้ามารับช่วงต่อ ท่านได้จำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกเป็นเวลา 4 พรรษา โยมญาติพี่น้องเก่าจึงได้เดินทางมานิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพง วัดครั้นสมัยบวชเณรเนื่องจากวัดจะร้างไม่มีพระจำพรรษา เนื่องจากหลวงปู่ท่านเป็นพระที่มีเมตตาแม้อายุจะย่างเข้า 93 ปีท่านได้ไปจำพรรษาที่วัดบ้านโพงโดยรักษาการตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดในช่วงนั้น ด้วยพระเดชของหลวงปู่วัดใดที่จะร้าง เมื่อท่านไปจำพรรษาวัดใด วัดนั้นก็จะเต็มไปด้วยลูกวัด ในขณะที่จำพรรษาอยู่วัดบ้านโพงก็ได้ทำนุบำรุงวัดเฉกเช่นวัดอื่น จนอายุ 97 ปี ลูกหลานเป็นห่วงสุขภาพหลวงปู่จึงได้พาชาวบ้านไปนิมนต์หลวงปู่จากวัดบ้านโพงกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหนองจิกจนถึงทุกวันนี้