วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ประวัติหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล





ประวัติหลวงปู่หมุน  ฐิตสีโล
อมตะเถระ 5 แผ่นดิน อายุ  แห่งวัดบ้านจาน

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2541  ผมผู้เขียนได้เดินทางผ่านวัดป่าหนองหล่มเป็นประจำ เพื่อไปอำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์  และในตอนนั้นตัวผมเองได้เลื่อมใสและศรัทธาหลวงปู่หงษ์ วัดเพชรบุรี จังหวัดสุรินทร์มากเป็นพิเศษ ได้เดินทางไปกราบนมัสการเป็นประจำ และถือได้ว่าเป็นสายตรงหลวงปู่หงษ์  จนสนิทกับท่านและท่านก็มีความเมตตากับผมเป็นพิเศษ  เปล่าตอนนั้นผมยังไม่ได้เป็นนักนิยมสะสมพระเครื่อง ทุกครั้งที่ไปกราบท่านผมไม่เคยเช่าวัตถุมงคลได้แต่ทำบุญถวายอาหารและปัจจัยท่าน  แต่ท่านก็เมตตามอบวัตถุมงคลมาบ่อยๆ แต่ผมไม่เคยเก็บได้มาก็แจกญาติบ้างลูกน้องที่ทำงานบ้าง  จนเมื่อปี พ.ศ.2556 ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจให้ผมหันมาเก็บสะสมพระเครื่อง ตอนนั้นเหรียญพระเกจิองค์แรกที่ผมตามเก็บก็หลวงปู่หงษ์นี่แหละ เก็บสะสมได้ไม่นานท่านก็มรณภาพ เมื่อวันที่5 มีนาคม2557 หลังจากหลวงปู่หงษ์มรณภาพ ผมก็เริ่มเก็บสะสมวัตถุมงคลเหรียญหลวงพ่อคูณ  ปริสุทโธ วัดบ้านไร่  ไม่นานท่านก็มรณภาพอีก   หลังจากนั้นผมก็ตั้งหลักคิดว่าต่อไปจะเล่นสะสมพระสายไหนดี  จึงได้ซื้อนิตยสารพระเครื่องมาอ่านดู  พบบทความของหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษและเกิดความศรัทธาเลื่อมใสขึ้น แต่ท่านก็ได้มรณภาพไปนานแล้ว นึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา  และได้เริ่มเก็บแสวงหาพระเครื่องของปู่หมุน ฐิตสีโล ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่มีกำลังทรัพย์พอที่จะหาได้  ปัจจุบันราคาไปไกลมากจริงๆ  
หลวงปู่หมุน ฐิตสีโส เกิดในสกุลศรีสงครามหรือ แก้วปักปิ่นถือกำเนิดเมื่อ วันพฤหัสบดี เดือน 5 ปีชวด พ.ศ. 2437 ณ บ้านจาน อ.กันทรารมย์ อ.ศรีสะเกษ บิดา ชื่อ "ดี "มารดาชื่อ " อั๊ว " มีอาชีพทำไร่ทำนา เป็นเด็กยากจน แต่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ต่อมาบิดามารดาเห็นแววทางด้านพระพุทธศาสนา จึงให้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 14 ปี และนำไปฝากกับพระอาจารย์สีดาเจ้าอาวาสวัดบ้านจาน ซึ่งเป็นพระที่เชี่ยวชาญด้านกรรมฐานและมีวิชาอาคมที่เก่งมาก ในปี 2460 ขณะอายุได้ 23 ปีได้เข้าอุปสมบทโดยมีหลวงพ่อสีดา เป็นพระอุปัชฌาชย์รับฉายาว่า " ฐิตสีโล " แปลว่า " ผู้มีศีลตั้งมั่น "จากนั้นได้ศึกษาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ในแถบนั้นเป็นเวลา 4 ปี ก่อนออกแสวงหาครูบาอาจารย์อื่นๆ เพื่อศึกษาคันธธุระและวิปัสสนาธุระในชั้นที่สูงๆ ขึ้นไป
ปี พ.ศ.2464 หลวงปู่หมุน เริ่มออกศึกษาแสวงหาประสบการณ์โดยได้ร่ำเรียนทั้งเวทย์วิทยา และสมถกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายสำนัก การเดินทางในสมัยนั้นเป็นที่ลำบากยากเย็น ต้องเดินเท้าเปล่าผจญภัยจากผีป่า หรือสัตว์ร้ายนานัปการ แต่หลวงปู่มิได้ย่อท้อ ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมที่ สำนักตักศิลาแห่งบ้านจิกใหญ่ อ.พิบูลมังสาหาร จังหวัด อุบลราชธานี กระทั่งศึกษาคัมภีร์มหาพุทธาคม อันเป็นแม่บทของคัมภีร์ปถมัง คัมภีร์อิทธิเจ คัมภีร์มหาราช คัมภีร์ตรีนิสิงเห ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราพิชัยสงคราม เช่น คัมภีร์นิติประกาศิต คัมภีร์ธนูรเวทว่าด้วยการแต่งเครื่องครอบมนตร์ในสงคราม เป็นต้น
ในช่วงปี 2475-2482 เมื่อหลวงปู่สำเร็จการศึกษาวิชาการต่าง ๆ ก็เก็บบริขารออกธุดงค์ป่าผ่านถิ่นทุรกันดารในชนบทโดยเท้าเปล่ามายังกรุงเทพ ฯ เข้าพักที่ วัดเทพธิดาราม เพื่อเล่าเรียน จนสอบได้เปรียญ 5 รวมทั้งยังร่ำเรียนวิชาคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตร ในช่วงหนึ่งหลวงปู่ได้มาพำนักที่วัดสุทัศน์ฯและได้ศึกษาวิชาบางอย่างกับสมเด็จพระสังฆราช(แพ)รวมทั้งยังได้มาพำนักที่วัดอรุณราชวรารามเพื่อศึกษาวิชากับพระพิมลธรรม(นาค)วัดอรุณราชวราราม นอกจากนี้หลวงปู่ได้เป็นครูสอนวิชาคัมภีร์มูลกัจจายน์สูตร (ภาษาบาลีล้วน) อยู่หลายปี
จากนั้นก็เก็บบริขารเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ทองดี ที่มาจากอ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ธุดงค์ ไปทางภาคเหนือเข้าเขตพม่าเป็นเวลา 1 ปี จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าลงภาคใต้ไปพำนักกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ เพื่อปฎิบัติกรรมฐานและแลกเปลี่ยนวิชาอาถรรพณ์เวทมนต์กับพระอาจารย์ทิมอยู่ประมาณปีกว่า ๆ ก่อนธุดงค์เข้าเขตประเทศมาเลเซีย ต่อจากนั้นก็ได้เรียนวิชาจากพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช โดยได้ของที่ระลึกจากพ่อท่านคล้ายคือ ชานหมากเม็ดใหญ่เป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินธุดงค์เรื่อยมาจนกลับสู่เขตอีสานอีกครั้งและได้พบกับหลวงปู่สี ฉันทสิริ ในป่าแถบ จังหวัดหนองคาย และได้วิชาลบผงสีจากหลวงปู่สี ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังโฆษิตาราม
ช่วงที่ท่านธุดงค์แถบอุบลราชธานีได้พบกับหลวงปู่มั่น และขอเรียนข้อวัตรปฏิบัติในพระกรรมฐาน แต่ไม่ได้ร่วมคณะธุดงค์ เพราะท่านอยู่นิกายมหายาน หลวงปู่เคยเล่าประวัติในช่วงธุดงค์ให้กับพระภิกษุที่เป็นหลานของท่านว่า เคยได้เป็นศิษย์หลวงปู่มั่นอยู่พักหนึ่ง ในช่วงที่หลวงปู่ต้องการเจริญสมณธรรม เป็นธรรมอันล้ำลึกยากยิ่งที่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงจะล่วงรู้ถึงอารมณ์ของวิปัสสนานี้ได้ หลวงปู่หมุนได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์มั่นอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็แสวงหาความวิเวก เพื่อประพฤติปฏิบัติต่อไป จนกระทั่งหลวงปู่แตกฉาน เชี่ยวชาญ ครั้งนั้นหลวงปู่หมุนได้ศึกษาธรรมจนที่สหธรรมมิกที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น รู้จักสนิทสนมกับหลวงปู่ทุกองค์ เช่น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เป็นต้น
ในตอนที่หลวงปู่หมุน ไปกราบนมัสการ หลวงปู่มั่น ท่ามกลางศิษย์สายกองทัพธรรม ในขณะสนทนาธรรมหลวงปู่มั่นได้ปรารถกับหลวงปู่หมุนว่า " ท่านหมุน ท่านเก่งพอตัวอยู่แล้ว หากไม่เจอกันหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริยัติปฏิบัติ และปฎิเสธตามหลักพระไตรสิกขา ให้สอบถามท่านแหวนได้ เพราะเขาเก่งมาก" หลวงปู่มั่นได้มอบของที่ระลึกให้หลวงปู่หมุน 2 อย่าง คือ แผ่นจารอักขระใบลาน ม้วนเป็นลูกอมกลม ๆ เขียนเป็นภาษาขอมว่า เย ธมมา เหตุปภวา ฯลฯ เป็นต้น และธนบัตรรัชกาลที่ 8 พร้อมลายเซ็นหลวงปู่มั่น ภายหลังหลวงปู่ได้มอบให้โยมแม่ท่านไป จากนั้นก็ธุดงค์ต่อไป ท่านยังได้ร่ำเรียนวิชาจาก พระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ต่อมาไม่นานก็ได้ร่ำเรียนวิชามีดหมอมหาปราบจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว และหลวงพ่อเงิน วัดมะปรางค์หลวง ซึ่งวิชานี้หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ก็เรียนจากหลวงพ่อขำและหลวงพ่อเงิน เช่นกัน นอกจากนี้ในช่วงที่หลวงปู่ธุดงค์มาสู่ภาคตะวันออกแถบจันทบุรี ท่านได้พำนักอยู่กับ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง กระทั่งหลวงพ่อสอนไว้ใจให้วิชาอาคมและครอบครูให้กับหลวงปู่
หลวงปู่หมุนนับเป็นหนึ่งในทายาทผู้สืบสายเวทวิทยาพุทธาคมในสายสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์ราชอาณาจักรลาวที่ยังดำรงขันธ์อยู่ในปัจจุบัน โดยสมเด็จลุนเป็นที่เลื่องลือในคุณธรรมและอภิญญาอภินิหารอาทิ สามารถเดินบนน้ำได้ ย่นระยะทางได้ แปลงร่างได้ เดินทะลุภูเขาได้กล่าวกันว่าภิกษุสงฆ์ยุคก่อนโน้นต่างดั้นด้นสืบเสาะหาสมเด็จลุน เพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษามหาวิทยาคม ตลอดจนวิปัสสนากรรมฐาน หลวงปู่หมุนเองก็ดั้นด้นธุดงค์ผ่านอุบลราชธานีเข้าประเทศลาวเพื่อสืบเสาะสมเด็จลุนอยู่หลายปี แต่ไม่พบ
ต่อมาธุดงค์ไปประเทศลาวอีกหลายครั้ง จนกระทั่งมาพบกับฆราวาสชื่ออาจารย์ฉันท์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของสมเด็จลุน ที่จังหวัดนครพนม โดยเรียนวิชาจากอาจารย์ฉันท์จนหมดภูมิแล้ว อาจารย์ท่านจึงได้คำแนะนำฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ดำเหลนของสมเด็จลุนปรมาจารย์ใหญ่ที่สืบสายเวทย์วิทยาคมพุทธาคมในสายสมเด็จลุน
ในการฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ดำนั้น มีกฎเกณฑ์รายละเอียดมากทั้งยังต้องทดสอบภูมิปัญญา และอำนาจของกระแสจิตที่ต้องเข้มแข็งพอที่จะเรียนวิชาของท่านได้ ในรุ่นที่หลวงปู่ฝากตัวเป็นศิษย์นั้นมีมากกว่า 50 รูป แต่หลวงปู่ดำท่านทดสอบวิชา แล้วคัดออกจนเหลือแค่ 3 รูป มีหลวงปู่หมุน หลวงพ่อสงฆ์ (วัดม่วง ลพบุรี) และอีกรูปหลวงปู่ลืมชื่อไปแล้ว

สำหรับพิธีครองครูของหลวงปู่ดำนั้นมีของยกครูที่หลวงปู่จำได้อย่างแม่นยำคือ
 1.ผ้าไตรจีวร
2.บาตร
3.ทองคำหนัก 10 บาท (สำหรับทองคำ จะคืนให้เมื่อเรียนจบ) และมีข้อห้ามประการสำคัญอีกคือ ห้ามสึกตลอดชีวิต ถ้าสึกไปชีวิตก็จะหาไม่
ในการครอบวิชานี้ถือว่าเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาวิทยาคม ในสายของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ซึ่งกว่าจะเรียนจบต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะบำเพ็ญเพียรอย่างมาก ได้จำวัดพักผ่อนวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น อาหารต้องฉันมื้อเดียว และขั้นตอนสุดท้ายที่จะสำเร็จวิชานี้จะมีการทดสอบอย่างพิสดาร
อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันว่าหลวงปู่หมุนท่านสำเร็จวิชาสำเร็จธาตุ 4 มาจากสายสมเด็จลุน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าวิชาสายนี้ลึกลับเกินปุถุชนคนธรรมดาจะเรียนได้สำเร็จ ผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เพราะการควบคุมธาตุ 4 ได้นั้นผู้ที่จะสามารถทำการนี้ได้ต้องสำเร็จจตุตฌานเป็นบาทฐานในการทำ และยังต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของกสิณจตุธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟอีกด้วย หลังจากนั้น หลวงปู่ก็กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านจาน จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และพระอุปัชฌาย์ รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน ที่" พระครูหมุน ฐิตสีโล" หลวงปู่ได้ปฎิบัติศาสนกิจตามที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลาถึง 20 ปี จึงลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้องการใช้ชีวิตที่เหลือบำเพ็ญสมณธรรมปฏิบัติพระวิปัสสนาธุระ อย่างเดียว
ประมาณปี 2487 ในช่วงที่หลวงปู่อายุ 50 ปี ท่านเก็บบริวารออกธุดงค์บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าดงดิบ โดยลำพังแต่ผู้เดียว และในช่วงนี้เองที่หลวงปู่ได้พบกับอาจารย์จ่อยและอาจารย์ขวัญ วัดป่าหนองหล่ม ในระหว่างที่หลวงปู่ธุดงค์โดยบังเอิญ อาจารย์ทั้ง 2 จึงได้นิมนต์หลวงปู่โปรดญาติโยมที่วัดป่าหนองหล่มหลังจากที่หลวงปู่หมุนเดินธุดงค์แสวงหาธรรม อยู่หลายสิบปี ประมาณปี 2520 ท่านจึงกลับมายังวัดบ้านจาน ซึ่งวัดบ้านจานในยามนั้น มีอายุกว่า 200 ปี อยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านจึงได้พัฒนาวัด สร้างอุโบสถขึ้นมา ด้วยหยาดเหงื่อและแรงจิต ทำให้อุโบสถเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น
นอกจากนี้ท่านยังได้ช่วยเหลือ ลูกศิษย์และสหธรรมิก อีกหลายวัดเช่น วัดป่าหนองหล่ม, วัดโนนผึ้ง ,วัดซับลำใย, และคณะศิษย์วัดสุทัศน์ฯ ในการสร้างถาวรวัตถุของวัด จนเป็นที่มาของ วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยมในหลายรุ่นต่อมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่อวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังแทบทุกรุ่นที่ท่านจัดสร้างขึ้น จึงเป็นที่นิยมในหมู่ศิษยานุศิษย์ ด้วยเชื่อในพลังแห่งบุญฤทธิ์จิตตานุภาพของท่าน จนกระทั่งเมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 11 มี.ค.2546 หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล พระอมตะเถระ 5 แผ่นดิน แห่งวัดบ้านจาน อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ มรณภาพลงอย่างสงบบนกุฎิ สิริอายุ 109 ปี พรรษา 86
สรุปพระบูรพาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาความรู้และพระกัมมัฏฐาน พอสรุปได้จากที่หลวงปู่เล่า คือ สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ฯ,พระพิมลธรรม(นาค) วัดอรุณฯ ,หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา, หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั้ง, หลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว ,หลวงพ่อเงิน วัดมะปรางค์เหลือง , หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ,หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ ,พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต , หลวงปู่สี ฉันทสิริ, พระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาละวัน และ หลวงปู่ดำ ทายาทสายสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ รวมทั้งอาจารย์ลึกลับที่พบในป่าอีกหลายท่าน ส่วนสหธรรมมิก มีศิษย์สายพระอาจารย์มั่น, หลวงพ่อทิม วัดช้างให้ ,หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค และอาจารย์ที่เก่งๆ อีกมาก
พระมหาปิ่น ปุณณสิริ อายุ 87 ปี เจ้าอาวาสวัดบ้านจานและมีศักดิ์เป็นหลานหลวงปู่หมุน กล่าวถึงเหตุการณ์วันที่หลวงปู่มรณะว่า " ช่วงนั้นอาตมาไม่อยู่วัด เพราะไปร่วมงานทำบุญบ้านของโยมท่านหนึ่งแถวละแวกวัด โดยหลวงปู่หมุนอยู่ตามลำพังกับนายอำนวย เขียวอ่อน ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของหลวงปู่ ท่านฉันโอวัลตินเสร็จ อยู่ดี ๆ ท่านก็เงียบไป ก่อนหน้า จะมรณภาพ ก็ไม่มีลางบอกเหตุอะไร เพียงแต่ช่วงเช้าหลวงปู่บอกกับอาตมาอยู่บ่อยครั้งว่า อยากไปหนองคายเพื่อกราบครูบาอาจารย์ และจะไปปากเซ จ.อุบลราชธานีและเลยไปวัดเวนไซซึ่งเป็นวัดของหลวงปู่สมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์ โดยจะกลับมาให้ทันวันงานในพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์วันที่ 12-13-14 เมษายน 2546 ซึ่งจะจัดให้มีพิธีหล่อพระประธาน และรูปเหมือนท่านในพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์ ซึ่งงานนี้จะจัดให้พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล อมตะเถระอายุยืนหมุนโชค อาตมาก็นึกว่า ท่านพูดธรรมดา ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะก่อนหน้านี้หลวงปู่ท่านได้พูดตลอดเวลาว่า ครูบาอาจารย์ท่านชวนไปนิพพานตั้งหลายครั้งแล้ว ท่านบอกว่า รอก่อนรอโปรดญาติโยมก่อน
สำหรับสังขาลหลวงปู่หมุนนั้นจะตั้งทำพิธีที่วัดบ้านจาน โดยจะให้ศิษยานุศิษย์และญาติโยมที่เคารพศรัทธาสรงน้ำศพในวันที่ 12 มี.ค. 2546 เวลา 13.30 น.ที่วัดบ้านจาน โดยจะจัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพเรื่อยไปจนกระทั่งถึงวันงานเฉลิมฉลองสมโภชน์เจดีย์ โดยศพจะนำบรรจุไว้ในโลงแก้วที่คณะลูกศิษย์จัดสร้างถวายให้ในราคา 2 แสนบาท และนำขึ้นประดิษฐานไว้ในมหาเจดีย์ฐิตสีโล ซึ่งคณะศิษยานุศิษย์จากทั่วสารทิศได้ร่วมกันก่อสร้างไว้ให้ท่าน ซึ่งมหาเจดีย์นี้ตั้งอยู่ในวัด โดยรูปทรงมหาเจดีย์จะคล้าย ๆ กับพระธาตุพนมทางภาคอีสาน ผสมผสานกับรูปแบบเจดีย์ทรงล้านนาทางภาคเหนือ ซึ่งสร้างโดยใช้วัสดุคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยใช้เงินก่อสร้างมหาเจดีย์หลังนี้ 2 ล้านบาทเศษ โดยท่านได้เคยปรารภกับลูกศิษย์อยู่เสมอว่า ให้นำร่างท่านบรรจุโลงแก้วและนำขึ้นประดิษฐานไว้ในเจดีย์หลังนี้ เพราะท่านย้ำอยู่เสมอว่าห้ามเผาสรีระของท่าน เพื่อจะให้ลูกศิษย์ได้กราบบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะท่านเป็นพระผู้มีวิชาอาคมขลัง และเป็นที่เคารพสักการะของผู้คนทั่วสารทิศ และเป็นพระเถระผู้มักน้อย สันโดษ และที่สำคัญเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์จริงๆ
ด้านนายจักรกฤษณ์ คลังศัตรา ลูกศิษย์ใกล้ชิด กล่าวว่า หลวงปู่หมุนเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของภาคอีสานรูปหนึ่ง วัตถุมงคลของท่านนักสะสมต่างนิยมเล่นหา เพราะมีพุทธคุณทางด้านเมตตามหานิยมและแคล้วคลาดเป็นเยี่ยม ท่านเป็นพระที่มีอายุมากแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีลางบอกเหตุว่าจะด่วนมรณภาพ หากมองดูภายนอกท่านยังมีสุขภาพแข็งแรง เป็นพระที่มากด้วยเมตตาบารมี แม้แต่หลวงปู่หงษ์ เกจิอาจารย์ดังแห่งสุสานทุ่งมน อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ยังเคยให้หลวงปู่หมุนลงกระหม่อมให้ และเวลามีญาติโยมถามถึงหลวงปู่หมุน หลวงปู่หงษ์จะยกมือท่วมศีรษะและบอกกับลูกศิษย์ของท่านว่า หลวงปู่หมุนเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
ขอบคุณที่มา http://www.luangpumoon.com/forum/index.php?topic=1.0



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น